วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ETDA เปิดบ้านถกประเด็น…คนไทยเห็น privacy สำคัญจริงหรือ? ในเมื่อยอมแลกข้อมูลส่วนตัวกับกาแฟเพียงแก้วเดียว!


ETDA เปิดบ้านถกประเด็น…คนไทยเห็น privacy สำคัญจริงหรือ? ในเมื่อยอมแลกข้อมูลส่วนตัวกับกาแฟเพียงแก้วเดียว! 
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2558 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) โดย ICT Law Center เปิดบ้านพูดคุยในหัวข้อ “‘การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล’ เกือบ 17 ปีที่รอคอย ทำอย่างไรให้เป็นธรรมและไม่เป็นภาระเกินไป…ในวันที่เราได้รับจดหมายโฆษณามากกว่าจดหมายจากคนรู้จัก…ในวันที่เรายอมแลกข้อมูลส่วนตัวกับกาแฟแก้วเดียวเสมอ” เพื่อผลักดันให้ร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ดำเนินการมาถึง 17 ปี กลายเป็นกลไกการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างแท้จริง
การที่ทุกวันนี้ยังมีคนไทยที่ไม่ให้ความสนใจกับการแชร์ข้อมูลโดยยอมจะแลกข้อมูลส่วนบุคคลกับกาแฟแก้วเดียว จนทำให้ได้รับจดหมาย อีเมล เอสเอ็มเอส ที่เป็นโฆษณามากกว่าที่ได้รับจากคนรู้จัก และข้อมูลที่แชร์กันไหลไปต่างประเทศผ่านผู้ให้บริการต่าง ๆ รวมถึงผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ จนมีคำถามว่าประเทศไทยยอมเป็นอาณานิคมทางอินเทอร์เน็ตแล้วหรือ? ดังนั้นการที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาสร้างกฎกติกาในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะมีการริเริ่มผลักดันในเรื่องการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลมาตั้งแต่ พ.ศ. 2539 และเห็นชอบให้จัดทำร่างกฎหมายใน พ.ศ. 2541 แต่ทุกวันนี้กฎหมายนี้ก็ยังไม่ผ่านออกมาใช้บังคับ ทั้ง ๆ ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับของประเทศในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญ การที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายกลางในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ประเทศไทยถูกมองว่าล้าหลัง ซึ่งจำเป็นต้องร่วมมือกันผลักดันและหาจุดสมดุลร่วมกัน
นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า การจัด Open Forum ขึ้นนี้เป็นความพยายามของ ETDA ที่จะรับฟังความเห็น รับทราบแนวคิด และแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสะท้อนความคิดของภาคส่วนต่าง ๆ ไปยังรัฐบาล เพื่อให้ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ที่จะเกิดขึ้นเป็นรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้อย่างแท้จริง
รศ. คณาธิป ทองรวีวงศ์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น วิทยากรในหัวข้อ “หลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายคุ้มครองส่วนบุคคล” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิทธิส่วนบุคคล กล่าวถึงความจำเป็นของร่างกฎหมายนี้ว่า เพราะกฎหมายไทยที่มีในปัจจุบันไม่สามารถคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในแง่ข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างเพียงพอ หลาย ๆ ประเทศถ้าจะทำการค้าด้วย ต้องมีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนในด้าน privacy เพื่อดูแลข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เพราะหากไม่ตระหนักในเรื่องนี้ดีพอ กฎหมายที่ออกมาก็จะมีปัญหาทางด้านการบังคับใช้และภาคปฏิบัติ ทุกวันนี้ร้านค้าต่าง ๆ ต้องกรอกข้อมูลมากมายกับการสมัครสมาชิก ฐานข้อมูลพวกนี้อยู่ที่ไหน มีใครคุ้มครองข้อมูล และผู้บริโภคน้อยคนมากที่จะอ่านเอกสารการยินยอมเปิดเผยข้อมูล หลักพื้นฐานของกฎหมายตัวนี้คือ “การยินยอม” ทั้งในขั้นเก็บข้อมูล (Collection) ขั้นประมวลผล (Process) และขั้นเปิดเผยหรือการเผยแพร่ (Disclosure) ซึ่งควรจะมีการขอยินยอมทั้ง 3 ขั้น และในร่างกฎหมายควรจะมีบทบัญญัติเสริมอย่างเช่นเกาหลี คือ ผู้ประกอบธุรกิจจะปฏิเสธการให้บริการหรือสินค้า ด้วยเหตุผลเพียงเพราะผู้บริโภคไม่ยินยอมให้ข้อมูลไม่ได้
ในช่วงเสวนา นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความเห็นว่า การที่ข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลส่วนลูกค้าไปอยู่ในภาคธุรกิจเป็นจำนวนมาก การมีกฎหมายกลางขึ้นมาเพื่อวางเกณฑ์ในการเก็บรักษา การเผยแพร่ข้อมูล ที่มีความน่าเชื่อถือ ก็จะทำให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ e-Commerce หรือธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ผู้บริโภคก็เกิดความมั่นใจว่าข้อมูลที่ให้ไปได้รับการคุ้มครอง เช่น ข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลที่เป็นเลข ID ต่าง ๆ ทำให้เกิดธุรกิจที่ดี และกันเอาธุรกิจที่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ออกไป โดยร่างกฎหมายใหม่นี้ ไม่ได้ขัดกับกฎหมายสากล ไม่มีปัญหาเรื่องหลายมาตรฐาน เพราะไม่ได้แบ่งแยกระหวางการคุ้มครองข้อมูลภาครัฐและเอกชนออกจากกัน แต่เรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีการมอบอำนาจนั้นจะต้องมีประเด็นที่ถกเถียงกันต่อไป
ดร.อธิป อัศวานันท์ จากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกฎหมายนี้ในภาคธุรกิจว่า การมีเรื่องนี้เข้ามานั้นภาคธุรกิจยินดี แต่ร่างกฎหมายที่ใช้เวลานานกว่าที่จะสมบูรณ์ของไทยอยากให้พิจารณาว่าสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันหรือไม่ เนื่องจากข้อมูลสารสนเทศคืออินเทอร์เน็ตโดยส่วนใหญ่ออกไปต่างประเทศ โซเชียลมีเดียก็ใช้ Facebook ส่วน Search Engine ก็ใช้ Google ด้าน e-Commerce ก็ไม่แข็งแกร่งสู้ Amazon ได้ เรามอบอาณานิคมทางอินเทอร์เน็ตให้ต่างประเทศไปหมด กฎหมายไทยจึงต้องครอบคลุมและเน้นเรื่องของการไร้พรมแดนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมด้วย
ดร.นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในประเด็นข้อมูลสุขภาพว่า ร่างกฎหมายนี้มีหลักการของการคุ้มครองที่ดีอยู่แล้ว แต่แน่นอนย่อมมีปัญหาที่นำมาถกเถียงเพื่อรับฟังกัน ที่ผ่านมาแม้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งขาติ พ.ศ. 2550 มีข้อที่คุ้มครองข้อมูลสุขภาพระดับหนึ่ง คือห้ามไปเปิดเผยโดยที่เจ้าของข้อมูลไม่อนุญาต ถ้าละเมิดก็มีความผิดทางอาญา ซึ่งกล่าวถึงเฉพาะการเปิดเผยข้อมูล ไม่ใช่การเก็บ หรือการใช้ตามหลักสากล และไม่มีการระบุในรายละเอียดว่ากรณีใดให้ใช้ หรือไม่ใช้อย่างไร ซึ่งเป็นปัญหาในทางปฏิบัติในทางบริการทางสุขภาพ เช่น หากมีการส่งต่อข้อมูลคนไข้จะมีปัญหาในกรณีคนไข้ไม่รู้ตัว (ไม่ได้อนุญาต) แต่ในทางการแพทย์ต้องเร่งรักษาก่อน สิ่งสำคัญ คือ กฎหมายต้องคิดให้รอบและทำให้ผู้ปฏิบัติไม่สับสน เพื่อให้เกิดหลักการที่ดีในการทำงาน ต้องหาสมดุลระหว่าง public good และ private right ถ้ากฎหมายไม่ขัดแย้งกันเองกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ยกระดับมาตรฐานของ privacy ในสังคมได้

1 ความคิดเห็น:

  1. ต้องขอขอบคุณ ETDA ที่เปิดโอกาสให้หลายๆภาคส่วนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป

    ตอบลบ

ค้นหาบล็อกนี้

Translate

ผู้ติดตาม

Contact ETDA Teams

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *